สงฆ์ หรือ สงฺฆ ในภาษาบาลี แปลว่า หมู่ เช่นในคำว่าภิกษุสงฆ์ แปลว่า หมู่ภิกษุ ใช้ในความหมายว่า ภิกษุทั้งปวงก็ได้
พระสงฆ์ หมายถึง สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเลื่อมใส สละเรือนออกบวช
ถือวัตร ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระบรมศาสดาสั่งสอนและกำหนดไว้ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน
พระสงฆ์ หมายถึง สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเลื่อมใส สละเรือนออกบวช
ถือวัตร ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระบรมศาสดาสั่งสอนและกำหนดไว้ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน
พระสงฆ์ จัดเป็นรัตนะหนึ่งในจำนวนรัตนสามหรือพระรัตนตรัย ซึ่งได้แก่พระพุทธรัตน พระธรรมรัตน พระสังฆรัตน พระสงฆ์ ได้แก่ ภิกษุ ในพระพุทธศาสนา สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งสละเรือนออกบวชตามพระพุทธเจ้า หลังจากได้ฟังคำสั่งสอนแล้วเกิดความเลื่อมใส ต้องการจะได้บรรลุธรรมตามพระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ ปฏิบัติตามธรรมและวินัยที่กำหนดไว้เฉพาะสำหรับภิกษุ จำนวน ๒๒๗ ข้อ บางครั้งเรียกว่า สงฆ์ ซึ่งพระสงฆ์ รูปแรกของโลก คือ พระอัญญาโกณทัญญะ
ในทางพระพุทธศาสนาแบ่งพระสงฆ์ออกเป็น ๒ ประเภท คือ สมมติสงฆ์ และพระอริยสงฆ์
สมมติสงฆ์ คือ สงฆ์โดยทั่วไปที่เป็นหมู่ของภิกษุ เรียกว่าพระสงฆ์ หรือสมมติสงฆ์ สงฆ์โดยสมมติ
เพราะว่าเป็นภิกษุตามพระวินัยด้วยวิธีอุปสมบทรับรองกันว่าเป็นอุปสัมบันหรือเป็นภิกษุขึ้น
เมื่อภิกษุหลายรูปมาประชุมกันกระทำกิจของสงฆ์ก็เรียกว่า สงฆ์
พระอริยสงฆ์ หมู่ภิกษุชนที่ได้ฟังเสียงซึ่งออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าหรือได้ปฏิบัติตามธรรมะ
ได้ความรู้พระธรรม คือ ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จนถึงได้บรรลุโลกุตตรธรรม
ธรรมะที่อยู่เหนือโลกตามพระพุทธเจ้า ซึ่งพระอริยสงฆ์คือคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ ๘ บุรุษ ได้แก่คู่ มรรค - ผล
๐ พระโสดาบัน ๑ คู่ ๒ บุรุษ คือ พระโสดาปฏิมรรค ๑ พระโสดาปฏิผล ๑
๐ พระสกทาคามิ ๑ คู่ ๒ บุรุษ คือ พระสกทาคามิมรรค ๑ พระสกทาคามิผล ๑
๐ พระอนาคามิ ๑ คู่ ๒ บุรุษ คือ พระอนาคามิมรรค ๑ พระอนาคามิผล ๑
๐ พระอรหันต์ ๑ คู่ ๒ บุรุษ คือ พระอรหัตมรรค ๑ พระอรหัตผล ๑
ในทางพระพุทธศาสนาแบ่งพระสงฆ์ออกเป็น ๒ ประเภท คือ สมมติสงฆ์ และพระอริยสงฆ์
สมมติสงฆ์ คือ สงฆ์โดยทั่วไปที่เป็นหมู่ของภิกษุ เรียกว่าพระสงฆ์ หรือสมมติสงฆ์ สงฆ์โดยสมมติ
เพราะว่าเป็นภิกษุตามพระวินัยด้วยวิธีอุปสมบทรับรองกันว่าเป็นอุปสัมบันหรือเป็นภิกษุขึ้น
เมื่อภิกษุหลายรูปมาประชุมกันกระทำกิจของสงฆ์ก็เรียกว่า สงฆ์
พระอริยสงฆ์ หมู่ภิกษุชนที่ได้ฟังเสียงซึ่งออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าหรือได้ปฏิบัติตามธรรมะ
ได้ความรู้พระธรรม คือ ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จนถึงได้บรรลุโลกุตตรธรรม
ธรรมะที่อยู่เหนือโลกตามพระพุทธเจ้า ซึ่งพระอริยสงฆ์คือคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ ๘ บุรุษ ได้แก่คู่ มรรค - ผล
๐ พระโสดาบัน ๑ คู่ ๒ บุรุษ คือ พระโสดาปฏิมรรค ๑ พระโสดาปฏิผล ๑
๐ พระสกทาคามิ ๑ คู่ ๒ บุรุษ คือ พระสกทาคามิมรรค ๑ พระสกทาคามิผล ๑
๐ พระอนาคามิ ๑ คู่ ๒ บุรุษ คือ พระอนาคามิมรรค ๑ พระอนาคามิผล ๑
๐ พระอรหันต์ ๑ คู่ ๒ บุรุษ คือ พระอรหัตมรรค ๑ พระอรหัตผล ๑
อริยบุคคล คือ บุคคลผู้ประเสริฐ เป็นผู้ละสังโยชน์ หรือกิเลสที่ผูกมัดสัตว์ไว้ในภพหรือผูกพันสัตว์ทั้งหลายไว้กับทุกข์ได้ ใครละได้น้อยก็เป็นอริยบุคคลชั้นต้น เมื่อละได้มากเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงขึ้น ใครละได้หมดก็เป็นพระอรหันต์
สังโยชน์ ๑๐
สังโยชน์ ๑๐
๑. สังกายทิฏฐิ ความเห็นว่าร่างกายเป็นของตน
๒. วิจิกิจฉา ความสงสัยในผลกรรม การเวียนว่ายตายเกิด
๓. สีลัพพตปรามาส การเชื่อพิธีกรรมทางไสยศาสตร์
๔. กามราคะ ความติดใจในกามารมณ์
๕. ปฏิฆะ ความขัดเคืองใจ
๖. รูปราคะ ความติดใจในรูป เช่น สิ่งล้ำค่าสวยงาม
๗. อรูปราคะ ความติดใจในสิ่งไม่มีรูป เช่น คำสรรเสริญ
๘. มานะ ความยึดถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่ ติดในยศศักดิ์
๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ไม่สงบใจ
๑๐. อวิชชา ความไม่รู้อริยสัจ ๔
๒. วิจิกิจฉา ความสงสัยในผลกรรม การเวียนว่ายตายเกิด
๓. สีลัพพตปรามาส การเชื่อพิธีกรรมทางไสยศาสตร์
๔. กามราคะ ความติดใจในกามารมณ์
๕. ปฏิฆะ ความขัดเคืองใจ
๖. รูปราคะ ความติดใจในรูป เช่น สิ่งล้ำค่าสวยงาม
๗. อรูปราคะ ความติดใจในสิ่งไม่มีรูป เช่น คำสรรเสริญ
๘. มานะ ความยึดถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่ ติดในยศศักดิ์
๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ไม่สงบใจ
๑๐. อวิชชา ความไม่รู้อริยสัจ ๔
ลำดับพระอริยบุคคล
๑. พระโสดาบัน ละสังโยชน์ในข้อ ๑ - ๓ ได้ ยังต้องกลับมาเกิดอีก แต่ไม่เกิน ๗ ชาติแล้วจะบรรลุนิพพาน คือ
ได้เป็นพระอรหันต์
๒. พระสกิทาคามี ละสังโยชน์ในข้อ ๑ - ๓ ได้ และจิตคลายจากราคะ โทสะ โมหะ ได้มากขึ้น จะเกิดอีกเพียง
ครั้งเดียวแล้วจะบรรลุนิพพาน
๓. พระอนาคามี ละสังโยชน์ในข้อ ๑ - ๕ ได้ บรรลุชั้นนี้แล้วจะเลิกการครองเรือน หันมา ประพฤติพรหมจรรย์
ละสังขารแล้วจะไปเกิดในพรหมโลก
๔. พระอรหันต์ ละสังโยชน์ได้ทั้ง ๑๐ ข้อ เมื่อละสังขารแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก คือ นิพพาน
ได้เป็นพระอรหันต์
๒. พระสกิทาคามี ละสังโยชน์ในข้อ ๑ - ๓ ได้ และจิตคลายจากราคะ โทสะ โมหะ ได้มากขึ้น จะเกิดอีกเพียง
ครั้งเดียวแล้วจะบรรลุนิพพาน
๓. พระอนาคามี ละสังโยชน์ในข้อ ๑ - ๕ ได้ บรรลุชั้นนี้แล้วจะเลิกการครองเรือน หันมา ประพฤติพรหมจรรย์
ละสังขารแล้วจะไปเกิดในพรหมโลก
๔. พระอรหันต์ ละสังโยชน์ได้ทั้ง ๑๐ ข้อ เมื่อละสังขารแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก คือ นิพพาน
ผลที่เกิดจากการปฏิบัติ หรือปฏิเวธธรรม ทำให้ได้บรรลุ มรรคผล นิพพาน ตั้งแต่ ชั้นต้นไปตามลำดับ ดังนี้
๑. โสดาปัตติมรรค คือ มรรคอันให้ถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพาน เป็นเหตุให้ละกิเลส สังโยชน์ ในข้อที่ ๑ - ๓ ได้
๒. โสดาปัตติผล คือ ผลแห่งการเข้าถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพาน
๓. สกทาคามิมรรค คือ มรรคที่มีคุณธรรมสูงกว่าพระโสดาปัตติมรรค ทำให้ละกิเลส ข้อ ๑ - ๓ ได้ และราคะ โทสะ
โมหะ ในจิตเบาบางมากแล้ว
๔. สกทาคามิผล คือ ผลที่พระสกทาคามิผลพึงเสวย เพราะทำให้ ราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลง
๕. อนาคามิมรรค คือ มรรคที่ละกิเลสอย่างหยาบ ข้อ ๑ - ๕ ได้
๖. อนาคามิผล คือ ความสุขที่พระอนาคามีได้รับเพราะละกิเลสอย่างหยาบได้ ผู้บรรลุพระอนาคามีแล้วจะบวช
ไม่มีใครอยู่ในเพศฆราวาสเลย
๗. อรหัตมรรค คือ ญาณเป็นเครื่องละกิเลสอย่างละเอียด หรือสังโยชน์ ข้อ ๖ - ๑๐ รวมทั้งข้อ ๑ - ๕ ได้โดยสิ้นเชิง
๘. อรหัตผล คือ ผลที่พระอรหันต์พึงได้รับเพราะละการยึดมั่นถือมั่นในกิเลส
มรรค คือ ญาณที่ทำให้ละสังโยชน์ได้ขาด เป็นทางให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล
ผล คือ ผลที่เกิดสืบเนื่องจากการละกิเลสได้ด้วยมรรค หรือ ธรรมารมณ์อันพระอริยะพึงเสวย ที่เป็นผล
เกิดเอง ในเมื่อกิเลสสิ้นไปด้วยอำนาจมรรคนั้น ๆ
นิพพาน คือ สภาพที่ดับกิเลสและกองทุกข์แล้ว
๒. โสดาปัตติผล คือ ผลแห่งการเข้าถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพาน
๓. สกทาคามิมรรค คือ มรรคที่มีคุณธรรมสูงกว่าพระโสดาปัตติมรรค ทำให้ละกิเลส ข้อ ๑ - ๓ ได้ และราคะ โทสะ
โมหะ ในจิตเบาบางมากแล้ว
๔. สกทาคามิผล คือ ผลที่พระสกทาคามิผลพึงเสวย เพราะทำให้ ราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลง
๕. อนาคามิมรรค คือ มรรคที่ละกิเลสอย่างหยาบ ข้อ ๑ - ๕ ได้
๖. อนาคามิผล คือ ความสุขที่พระอนาคามีได้รับเพราะละกิเลสอย่างหยาบได้ ผู้บรรลุพระอนาคามีแล้วจะบวช
ไม่มีใครอยู่ในเพศฆราวาสเลย
๗. อรหัตมรรค คือ ญาณเป็นเครื่องละกิเลสอย่างละเอียด หรือสังโยชน์ ข้อ ๖ - ๑๐ รวมทั้งข้อ ๑ - ๕ ได้โดยสิ้นเชิง
๘. อรหัตผล คือ ผลที่พระอรหันต์พึงได้รับเพราะละการยึดมั่นถือมั่นในกิเลส
มรรค คือ ญาณที่ทำให้ละสังโยชน์ได้ขาด เป็นทางให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล
ผล คือ ผลที่เกิดสืบเนื่องจากการละกิเลสได้ด้วยมรรค หรือ ธรรมารมณ์อันพระอริยะพึงเสวย ที่เป็นผล
เกิดเอง ในเมื่อกิเลสสิ้นไปด้วยอำนาจมรรคนั้น ๆ
นิพพาน คือ สภาพที่ดับกิเลสและกองทุกข์แล้ว
ที่มาhttp://www.phuttha.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น